เปิดตำนาน ลัทธิอนาคตวงศ์ การตัดหัวเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

อนาคตวงศ์ ต้นตอของการตัดหัวเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

เปิดตำนาน ลัทธิอนาคตวงศ์
การตัดหัวเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

    จากข่าวอดีตพระสงฆ์จากจังหวัดหนองบัวลำภู สร้างกิโยตินเพื่อตัดหัวตัวเองถวายเป็นพุทธบูชา ที่สร้างความสยองขวัญและความฉงนให้กับคนไทยว่า สาเหตุแบบนี้มันมีด้วยหรอ  ซึ่งในสมัยก่อนย้อนกลับไปในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อกว่า 200 ปีก่อน เคยมีหลายคนที่กระทำเรื่องในทำนองดังกล่าวเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเช่นกัน
    ในบทความ “ลัทธิอนาคตวงศ์ : พุทธศาสนาประชานิยมยุคต้นรัตนโกสินทร์” ในวารสารดำรงวิชาการ (ปีที่ 8 ฉบับที่ 2) เขียนโดย ศรัณย์ ทองปาน ได้ยกเหตุการณ์การบูชา “ด้วยเลือดด้วยเนื้อ” ของตนเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และอธิบายถึงสาเหตุที่มาของคติความเชื่อดังกล่าวไว้
    บุคคลหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ “นายบุญเรือง” เผาตัวตายที่วัดอรุณฯ โดยในสมัยรัชกาลที่ 1 ราว พ.ศ. 2333 โดย นายบุญเรือง, นายทองรัก และขุนศรีกัณฐัศ สามสหายผู้มีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา พากันไปยังพระอุโบสถวัดครุทธาราม ตั้งสัตยาธิฐานเสี่ยงดอกบัวอ่อนคนละหนึ่งดอก บูชาพระพุทธเจ้าว่า “ถ้าผู้ใดจะสำเร็จแก่พระโพธิญาณในอนาคตกาลแล้ว ขอให้ดอกบัวของผู้นั้นจงบานเห็นประจักษโดยแท้” วันรุ่งขึ้นปรากฏว่าดอกบัวของนายบุญเรืองบานเพียงดอกเดียว เช่นนั้นนายบุญเรืองจึงมุ่งถวายชีวิตของตนเพื่อพระพุทธศาสนา
    พงศาวดารบันทึกเหตุการณ์ต่อจากนั้นว่า “ตั้งแต่นั้นมานายบุญเรืองก็มาอาศัยอยู่ที่ศาลาการเปรียญเก่า ณ วัดแจ้ง ตั้งสมาทานพระอุโบสถศีลฟังพระธรรมเทศนา เอาสำลีชุบน้ำมันเป็นเชื้อพาดแขนทั้งสองข้างจุดเพลิงบูชาต่างประทีบทุกวัน ๆ ครั้นถึง ณ วันศุกร์ เดือนสาม ขึ้นแปดค่ำ เวลากลางคืนประมาณ 1 ทุ่มเศษๆ นายบุญเรืองฟังพระธรรมเทศนาจบแล้ว ก็นุ่งห่มผ้าชุบน้ำมันเดินออกมาหน้าการเปรียญ นั่งพับเพียบพนมมือตั้งสติรักษาจิตระงับสงบดีแล้วจุดเพลิงเผาตัวเข้า เมื่อเปลวไฟวูบท่วมตัวนั้น นายบุญเรืองร้องประกาศแก่คนทั้งปวงว่าสำเรจความปราฐนาแล้ว…”
    ขณะที่นายบุญเรืองกำลังเผาตัวตายอยู่นั้น ปรากฏว่ามีคนยืนดูประมาณ 500-600 คน บ้างก็ร้องสาธุการ บ้างโยนผ้าเข้าไปในกองไฟเพื่อเป็นการบูชา เมื่อไฟสงบลงจึงนำศพใส่โลงและสวดพระอภิธรรม 3 คืน เสร็จจึงนำไปฌาปนกิจที่ทุ่งนาวัดหงษ์ มีเรื่องเล่าต่อว่าเมื่อเผาศพนั้นปลาในท้องนาประมาณ 11-12 ตัว กระโดดเข้ามาตายในกองไฟด้วย และเมื่อไฟดับก็เห็นอัฐิของนายเรืองเป็นสีเขียว ขาว เหลือง ขาบ สร้างความแปลกประหลาดให้กับผู้คน จนที่สุดจึงนำอัฐิใส่โกศนำเก็บไว้ที่วัดอรุณฯ
    หลังจากเหตุการณ์นายบุญเรืองเผาตัวตายที่วัดอรุณฯ อีก 27 ปี ต่อมา ใน พ.ศ. 2360 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 2 “นายนก” ผู้มีความมุ่งหมายที่จะบรรลุเป็นพระโพธิญาณอีกคนหนึ่ง ก็ได้กระทำการเผาตัวตาย ณ สถานที่แห่งเดียวกันนี้เอง และภายหลังได้มีการสร้างรูปนายบุญเรืองและนายนกเป็นหินสลักไว้ที่วัดอรุณฯ พร้อมกับสร้างจารึกบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมด
    จากเหตุการณ์ทั้งสองนี้ ศรัณย์ ทองปาน อธิบายไว้ว่ามีสาเหตุมาจากคติความเชื่อเรื่อง “พระอนาคตวงศ์” ซึ่งแพร่หลายตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามาแล้ว พระอนาคตวงศ์หรือที่เรียกในคัมภีร์ว่า “ทสโพธิสัตตุนิทเส” หรือ “ทศโพธิสัตตุปัตติกถา” สันนิษฐานว่ารจนาขึ้นในอาณาจักรล้านนา มีเนื้อหาว่าด้วยพุทธประวัติของพระอนาคตของพระพุทธเจ้า 10 พระองค์
    พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนมีชาติกำเนิดที่แตกต่างหลากหลาย บ้างเป็นกษัตริย์ บ้างเป็นขุนนาง บ้างเป็นสัตว์เดรัจฉาน หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นลักษณะร่วมกันคือ การบำเพ็ญกุศลในระดับอุกฤษฎ์ (ระดับสูงสุด) ด้วยความเด็ดขาดและรุนแรง เช่น เชือดศีรษะหรือจุดไฟไว้บนศีรษะเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา, ยอมถูกประหารชีวิตเพื่อให้ได้ถวายไทยทานแก่พระพุทธเจ้าก่อนผู้ใด, ยกโอรสธิดาให้ยักษ์กินเป็นทาน หรืออย่างในพระชาติที่เป็นพญาช้าง ก็อุทิศงาข้างหนึ่งสร้างโลง อีกข้างทำเป็นแจกัน และใช้ศีรษะเป็นที่ประชุมเพลิงศพของพระอรหันต์
    เรื่องพระอนาคตวงศ์นี้ได้ส่งผลให้ผู้คนในยุคนั้นยึดถือเอาการสละชีวิตเพื่อบูชาพระรัตนตรัย แลกเอาพระนิพพาน คงถือเป็นบุญกิริยาอันใหญ่หลวง และเป็นเรื่องน่าเลื่อมใสศรัทธา โดยนอกจากกรณีของนายบุญเรืองและนายนกนี้แล้ว ปรากฏว่ายังมีเหตุการณ์ทำนองนี้อีก เช่น มีสตรีบางคงไปสักการะพระพุทธบาทที่สระบุรี นำน้ำมันเทลงในอุ้งมือ ปั้นดินเป็นขาหยั่งร้อยด้ายตั้งกลางใจมือ จุดไฟแทนตะเกียงบูชาพระพุทธบาท ซึ่งก็เป็นลักษณะเดียวกันกับการกระทำของนายบุญเรืองที่ว่า “เอาสำลีชุบน้ำมันเปนเชื้อพาดแขนทั้งสองค่างจุดเพลิงบูชาต่างประทีบทุกวัน ๆ”
    ไม่เพียงแต่ชาวบ้านสามัญชน ในหมู่ชนชั้นสูงก็มีเรื่องทำนองนี้เช่นกัน นั่นคือ สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท หรือวังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 1 ดังมีบันทึกว่าในช่วงบั้นปลายพระชนม์ทรงพระประชวรหนัก เสด็จฯ มาวัดมหาธาตุ รับสั่งจะนมัสการลาพระพุทธรูป แล้วทรงพยายามเอาพระแสงแทงพระองค์เองเพื่อถวายพระ แต่มีผู้เข้าห้ามและแย่งพระแสงไปได้ทันเสียก่อน
    บำเพ็ญ ระวิน ผู้รวบรวม “ประชุมพงศาวดารฉบับราษฎร์ ภาค 3 พระอนาคตวงศ์” กล่าวไว้ว่า “อนาคตพุทธะทำให้ผู้ที่มีศรัทธานำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นและเข้าสู่โพธิญาณ กลายเป็นความจงรักภักดี จนกลายเป็นลัทธิไปก็มี” ขณะที่ ศรัณย์ ทองปาน กล่าวว่า “ความศรัทธาในพระอนาคตพุทธเจ้านี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นพุทธศาสนา ‘ลัทธิอนาคตวงศ์’ ซึ่งน่าจะเป็นพุทธศาสนากระแสหลัก หรือเป็นพุทธศาสนา ‘ประชานิยม’ (Popular Buddhism) ยุคต้นรัตนโกสินทร์”
    ศรัณย์ ทองปาน อธิบายว่าคติความเชื่อจาก “ลัทธิอนาคตวงศ์” เข้มข้นมากในสมัยรัชกาลที่ 3 ถึงสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์ทรงตำหนิและประกาศเตือนถึงผู้คนที่ยังยึดคติความเชื่อนี้ว่าไม่ควรกระทำเป็นอันขาด ดังความว่า
    “ได้ฟังคำเล่าลือ แลได้ฟังพระสงฆ์บางรูปที่ไม่ได้เล่าเรียนศึกษาพระไตรปิฎกธรรมให้รู้จริงมาเทศนาเลอะ ๆ ลาม ๆ ใกล้จะเสียจริต พรรณาสรรเสริญว่าเป็นบุญเป็นกุศลมาก แล้วหลงใหลเห็นตามไป เหมือนอย่างเผาตัวบูชาพระรัตนตรัยแลเชือดคอเอาศีรษะบูชาพระ เชือดเนื้อรองเลือดใส่ตะเกียงตามบูชา…
    ตั้งแต่นี้สืบไปอย่าให้ใครเผาตัวบูชาพระ ตัดศีรษะบูชาพระ เชือดเนื้อรองโลหิตตามตะเกียงบูชาพระเลยเป็นอันขาด เพราะว่าเปนการขัดต่อราชการแผ่นดิน… ผู้ซึ่งได้รู้เห็นแลจะนิ่งดูดายเสียไม่ห้ามปราม หรือจะพลอยเห็นว่าได้บุญได้กุศลนั้นไม่ได้ ถ้าผู้ใดได้รู้เห็นแล้วดูดายเสีย ไม่ว่ากล่าวห้ามปรามแย่งชิงเครื่องศัสตราวุธ… จะให้ผู้นั้นเสียเบี้ยปรับตามรังวัด…”
    ในสมัยรัชกาลที่ 4 นี้เองที่แนวคิดหรือกระแส “เหตุผลนิยม” ของพุทธศาสนาสมัยใหม่แบบธรรมยุติกนิกายแพร่หลาย ทำให้ “ลัทธิอนาคตวงศ์” ลดความสำคัญลงไป แต่มิได้หายไปจนหมดสิ้น ยังทิ้งร่องรอยและแพร่หลายอยู่บ้างในบางท้องถิ่น กระทั่งต่อมาในยุคหลัง คติความเชื่อดังกล่าวก็ถูกลืมเลือนและหมดความสำคัญลงสิ้น
lottovipgod
    LOTTOVIP เว็บหวยออนไลน์ คาสิโนออนไลน์ อันดับ 1 ที่มียอดผู้เล่นมากที่สุด แทงหวย ซื้อหวยผ่านเว็บ ดีที่สุด สมัครฟรี

9 สิ่งที่ผู้ชายไม่ควรทำตอนมีเซ็กส์

เพศสัมพันธ์ที่ดีต้องแฮปปี้และลงตัวกันทั้งสองฝ่าย แต่ส่วนใหญ่ผู้ชายจะเป็นฝ่ายเดินเกม แล้วมักทำอะไรผิดพลาดให้แฟนสาวไม่พอใจอยู่เสมอ บางคู่ทะเลาะกันหนักถึงขั้นเลิกรากันเลยก็มี ถ้าไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง มาดูกันว่าอะไรบ้างที่หนุ่ม ๆ ไม่ควรทำขณะโยกอยู่บนเตียง

1. รีบเล้าโลม

เข้าใจว่านาทีนั้นข้างในมันร้อนรุ่มจนไม่อยากลีลาให้มากความ แต่อยากให้รู้ไว้ว่ามันคือความปรารถนาของผู้หญิงและรอคอยให้คุณมาเล้าโลมเธออยู่ การข้ามขั้นตอนอาจทำให้พวกเธอไม่แฮปปี้ได้ ดังนั้นหนุ่ม ๆ ควรทุ่มเทเวลาให้ตรงนี้อย่างน้อย 10-15 นาที ปูทางให้ครบทุกอย่างที่สาว ๆ ชอบ ทั้งบีบนวด ลูบไล้ พูดกระตุ้น ซึ่งพวกนี้จะช่วยสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้อีกฝ่ายด้วย

2.เล่นเงียบ ๆ

พอเริ่มเกมผู้ชายส่วนใหญ่มักจะเงียบขรึมในระหว่างการทำภารกิจ ในใจคุณอาจไม่คิดอะไรมาก แต่สำหรับสาว ๆ พวกเธอจะรู้สึกแปลก และเกิดความสงสัยว่าเธอทำให้คุณไม่ฟินหรือเปล่า ทางที่ดีหนุ่ม ๆ ควรส่งสัญญาณออกมาบ้าง ไม่จำเป็นต้องเว่อร์วังเกินความจริง แค่ปล่อยเสียงครวญครางเบา ๆ บ้างเป็นบางครั้ง แสดงให้คู่นอนทราบว่าคุณกำลังเพลิดเพลินกับการตีป้อมอยู่

3. มุ่งหน้าเข้าเส้นชัย

 ปล่อยเงียบอย่างเดียวไม่พอ หนุ่ม ๆ มักติดนิสัยเหยียบคันเร่งเดินเครื่องเต็มกำลัง มุ่งหน้าเข้าเส้นชัยโดยเร็ว ซึ่งมันอาจเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ชาย แต่หารู้ไม่ว่าฝ่ายหญิงทั้งกดดันและเหมือนถูกบังคับให้เสร็จตามไปด้วย เพียงแค่เธอไม่อยากขัดจังหวะคุณเท่านั้นเอง หันมาค่อย ๆ สนุกร่วมกันดีกว่า แล้วปล่อยจบในช่วงเวลาที่เหมาะสม จะได้ฟินกันทั้งสองฝ่าย

4. มองข้ามความต้องการอีกฝ่าย

อย่ากลัวที่จะเอ่ยปากถามว่า จังหวะนี้รู้สึกอย่างไร ? หรือ ต้องการอะไรที่แตกต่างจากเดิมไหม ? เพราะบางทีพวกเธออาจคิดไม่ตรงกับคุณอยู่ก็ได้ หากละเลยจุดนี้อาจทำให้ฝ่ายหญิงเสร็จแต่ไม่สุด ทางที่ดีหมั่นสังเกตการตอบสนองของอีกฝ่ายเป็นประจำ ลองปรับจังหวะ เปลี่ยนท่า เติมความหลากหลาย หรือให้เธอเป็นฝ่ายบุกบ้าง ผลัดกันห้ำหั่นก็เป็นอะไรที่ไม่เลวเหมือนกัน

5. ไม่ใส่ใจกับการถอด

 หนุ่ม ๆ เคยรู้กันหรือเปล่าว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ลงทุนซื้อชุดชั้นในราคาแพง เพื่อให้คุณรู้สึกตื่นเต้น ประทับใจ และคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอทำเมินเฉยใส่มัน หรือไร้ทักษะในการถอด กระตุกแล้วเขวี้ยงทิ้งแบบไม่ไยดี ซึ่งทำให้พวกเธอหมดสนุกไปโดยปริยาย เรื่องนี้ไม่ซับซ้อนเลย เพียงแค่คุณค่อย ๆ ถอดมันออกช้า ๆ เล่นกับมันสักเล็กน้อย หรือลองเปลี่ยนไปใช้ปากแทนก็ได้ เชื่อไหมว่าหลังถอดเสร็จพวกเธอจะร้อนแรงขึ้น 10 เท่า

6.ไม่เป็นมิตรกับจุดซ่อนเร้น

ผู้หญิงเกือบทุกคนชอบการกระตุ้นบริเวณจุดซ่อนเร้น หนุ่ม ๆ สามารถ สัมผัส ลูบไล้ ได้หมดทุกส่วนระหว่างขึ้นสังเวียน เพียงแต่อย่าถือโอกาสนั้นเล่นรุนแรงกับเธอเด็ดขาด โปรดจำไว้เลยว่าอวัยวะเพศหญิงอ่อนโยนและไวต่อความรู้สึกมาก ดังนั้นยิ่งเล่นแรงเท่าไหร่ ยิ่งอันตรายและเจ็บปวดมากเท่านั้น เลิกซะนิสัยแบบนี้

7.เผลอพูดจาไม่เข้าหู

ในช่วงเวลาปกติคนเป็นแฟนกันก็มักจะพูดจาหยอกล้อ แซวกันขำ ๆ บ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ระหว่างโยกเยกอยู่บนเตียงให้ระวังคำพูดเหล่านี้เอาไว้ซะ ลองนึกภาพตาม คนกำลังฟินมีความสุข อยู่ดี ๆ ก็พูดแทงใจดำกันซะอย่างนั้น เจอแบบนี้เป็นใครก็หมดอารมณ์ เปลี่ยนมาพูดชมเชยจุดเด่นของเธอกันดีกว่า รับรองหลังจากนี้เตียงโยกแรงขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

8.ขาดการพัฒนา

ช่วงข้าวใหม่ปลามัน อะไร ๆ ก็ดีต่อใจไปหมด ลองผ่านช่วงโปรไปสักพักแล้วยังใช้แต่ท่าเซ็กส์ เดิมซ้ำ ๆ ดูสิ จะรู้เลยว่ามันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก ๆ และอาจส่งผลให้ฝ่ายหญิงไม่ถึงจุดสุดยอดอีกด้วย มันคือการบ้านของผู้ชายที่ต้องพัฒนาให้การฟาดฟันกลับมาตื่นเต้นและสดใหม่อยู่เสมอ แนะนำให้เปิดตำราหาท่าใหม่ ๆ มาลองบ้าง ย้ายสถานที่สักนิด เพิ่มอุปกรณ์สักหน่อย ถ้าฝ่ายหญิงติดใจบอกเลยไม่ได้พักทั้งอาทิตย์แน่ ๆ

9.ลืมเสิร์ฟของหวานปิดท้าย

เหงื่อแตกแล้วแยกย้ายกันอาบน้ำ เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวมาก ๆ ในสายตาผู้หญิง ! จำให้ขึ้นใจเลยว่าสาว ๆ อยากเห็นคุณแฮปปี้ที่ได้ร่วมบรรเลงเพลงรักด้วยกัน ไม่ใช่เสพสุขอยู่คนเดียว กินเสร็จก็สะบัดก้นเดินหนีไป พวกเธอยอมสนองความต้องการของคุณแล้ว ก็ควรได้รับความรู้สึกดี ๆ ตอบแทนบ้าง หลังพ้นจุดสุดยอดก็จ้องตากับเธอสักหน่อย พูดจาหวาน ๆ กอดแน่น ๆ สักพัก แล้วคุณจะเข้าใจเองว่ามันสำคัญมากแค่ไหน

ทั้งหมดอาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ สำหรับผู้ชายอย่างเรา แต่มันมีผลต่อฝ่ายหญิงมาก ๆ รีบเช็กเลยครับว่าตัวเองทำข้อห้ามเหล่านี้อยู่หรือเปล่า แล้วก็ปรับเปลี่ยนซะก่อนทุกอย่างจะสายเกินไปครับ

 

9 ผลไม้ ไหว้แล้วรวย

 

1.แอปเปิล เป็นผลไม้ที่เชื่อกันว่าจะปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ออกไปให้พ้น และส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง

 

2.องุ่น เป็นผลไม้ที่เชื่อกันว่าจะช่วยให้มีความเจริญก้าวหน้าทั้งหน้าที่การงานและครอบครัว

 

3.ส้ม เป็นผลไม้ที่คนไทยเชื้อสายจีนคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะว่าส้มในภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ไต้กิก” แปลว่า เฮงๆ รวยๆ ดังนั้นส้มจึงเป็นผลไม้มงคลที่ถือว่า “ต้องมี” เป็นส่วนประกอบหลักในการบูชากราบไหว้เจ้า ไหว้พระ ในเทศกาลเช่น วันตรุษจีน วันสารท วันแซยิด และพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ

 

4.ทับทิม ผลไม้มงคลที่คนจีนเรียกว่า “เจี๊ยวลิ้ว” เชื่อกันว่าจะทำให้ครอบครัวอบอุ่น รักกันกลมเกลียว ไม่มีเรื่องขัดแย้งบาดหมางกัน

 

5.สาลี่ เป็นผลไม้มงคลที่คนจีนเชื่อว่าจะทำให้มีโชคลาภและพบเจอเรื่องดีๆ

 

6.กล้วย ด้วยลักษณะของผลไม้มงคลชนิดนี้ที่เป็นแบบหวีหรือเครือเกาะกลุ่มกันมาเป็นจำนวนมาก แถมเป็นผลไม้ที่สามารถแตกหน่อออกไปเรื่อยๆ ผู้คนจึงเชื่อว่า กล้วยจะช่วยทำให้มีบริวารที่ดี มีบุตรสืบสกุลต่อกันไปเรื่อยๆ

 

7.พลับ นั้นมีความหมายแฝงว่า แน่วแน่ จิตใจหนักแน่น พลับเลยถูกนำมาใช้บูชาไหว้พระ เพื่อเป็นสื่อขอพรให้พ้นอุปสรรคต่างๆนานาได้อย่างราบรื่น

8. ลิ้นจี่  เป็นผลไม้ชั้นสูงที่มักใช้ในงานต่างๆของขุนนางชั้นสูงตั้งแต่โบราณ ลิ้นจี่เป็นผลไม้มงคลที่มีสีแดงสด ซึ่งในวัฒนธรรมของคนจีน สีแดงเป็นสีแห่งความเป็นสิริมงคล

 

9.สับปะรด มีรูปลักษณ์ที่คล้ายๆดวงตารอบตัว คนจึงเชื่อกันว่าผลไม้มงคลชนิดนี้จะช่วยให้เกิดความรอบคอบ รอบรู้ มองกาลไกล

นี่คือ ผลไม้มงคล เป็นเหล่าผลไม้ที่เหมาะสำหรับ ไหว้เจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทำพิธีมงคล

9 ผลไม้มงคล แค่นึงชื่อและซื้อผลไม้เหล่านี้ ก็ได้รับโชค 2 ชั้นแล้ว เพราะว่าผลไม้เหล่านี้ไม่เพียงแต่จะมีความหมายที่ดีเลิศ แต่ยังมีรสชาติที่อร่อยถูกปากคนไทย ซื้อไปได้ทั้งโชคลาภและความอร่อย